หัวข้อนี้ได้แรงบันดาลใจมาจากบทความของ ลี กาชิง (Li Ka-Shing) ที่ชื่อว่า “Li Ka-Shing teaches you how to buy a car & house in 5 years” โดยบทความเน้นไปที่คนเพิ่งเรียนจบ เพิ่งเริ่มทำงาน หรือเพิ่งได้เงินเดือน โดยหลักการที่ ลี กาชิง พูด คือ ทุก ๆ ครั้งที่ได้รายได้ เราควรแบ่งเงินออกเป็น 5 ส่วน ในสัดส่วน 30:20:15:10:25 โดยมีรายละเอียดดังนี้
ส่วนที่ 1: ค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน (30%)
ตัวอย่างเช่น ถ้าเรามีเงินเดือน 20,000 บาท ส่วนแรกจะถูกหักออกมาประมาณ 6,000 บาท เพื่อนำไปใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน ตกอยู่ที่ประมาณวันละ 200 บาท โดยใช้จ่ายไปกับการกินข้าวและน้ำต่าง ๆ
ลี กาชิง บอกว่าเงินจำนวนเท่านี้อาจจะดูไม่เยอะมาก เขาจึงแนะนำว่ามันขึ้นอยู่กับการใช้จ่ายของเรา ถ้าเราใช้จ่ายในการดำรงชีพ การออกไปทานนอกบ้านบ่อย ๆ อาจไม่ใช่สิ่งที่ทำได้บ่อย เขาแนะนำว่ามื้อเช้าอาจเป็นวุ้นเส้น ไข่ และนม มื้อกลางวันเป็นอาหาร ขนม หรือผลไม้ ส่วนมื้อเย็นทำกับข้าวทานเอง โดยขอให้แต่ละมื้อมีผัก 2 ชนิด และนม 1 แก้ว ซึ่งทั้งหมดจะทำให้ค่าอาหารของเราไม่เยอะเกินไป อยู่ที่ 5,000 – 6,000/เดือน หากเราอายุยังน้อย การทานอาหารแบบนี้ก็จะไม่ส่งผลต่อสุขภาพของเราเท่าไหร่ เพราะเรายังแข็งแรงอยู่
ส่วนที่ 2: เงินสำหรับสร้างเพื่อนใหม่ (20%)
การสร้างเพื่อนใหม่ เลี้ยงข้าวเพื่อน จ่ายค่าโทรศัพท์เพื่อใช้คุยกับเพื่อน ตัวอย่างเช่น ถ้าเรามีเงินเดือน 20,000 บาท ส่วนที่สองจะถูกหักออกมาประมาณ 4,000 บาท ถ้าเราเลี้ยงข้าวเพื่อนใหม่มื้อละ 1,000 บาท เราจะได้เพื่อนใหม่ประมาณ 4 คน/เดือน อาจตกสัปดาห์ละครั้ง
สิ่งที่สำคัญกว่าการเลี้ยงเพื่อน คือเพื่อนแบบไหนที่เราควรจะเลี้ยง เพื่อนที่เราควรเลี้ยงเพื่อหาเพื่อนใหม่ ควรเป็นคนที่มีความรู้มากกว่า รวยกว่า หรือสามารถช่วยเหลือเราได้ในอาชีพการงาน หากเราจ่ายเงินเลี้ยงข้าวคนแบบนี้ทุก ๆ เดือน เมื่อครบ 1 ปี เราจะมีเพื่อนเพิ่มมากขึ้น ซึ่งเป็นเพื่อนที่มีคุณค่า สามารถช่วยต่อยอดอนาคตของเราได้ รวมถึงเราอาจเป็นที่รู้จักและถูกมองว่าเป็นคนใจกว้าง นิสัยดี
ส่วนที่ 3: การเรียน การศึกษา (15%)
ด้วยตัวอย่างเดิม หากเรามีเงินเดือน 20,000 บาท เงินในส่วนที่สามจะถูกหักออกมาประมาณ 3,000 บาท เพื่อใช้กับการเรียน การศึกษา แน่นอนว่าในยุคนี้ความรู้ต่าง ๆ เกิดขึ้นเร็วมาก ถ้าไม่ศึกษาเพิ่มหรือมีความรู้เพิ่ม ตามไม่ทันแน่นอน ลี กาชิง อยากให้เราใช้จ่ายไปกับหนังสือใหม่ ๆ ถ้าเรามีเงินไม่มาก เราควรเรียนให้มากขึ้นเพื่อเอาความรู้ไปต่อยอด หนังสือที่ซื้อมาแล้วต้องตั้งใจอ่าน หลังจากอ่านจบแล้วให้เรียบเรียงความรู้ใหม่ในภาษาของเราเพื่อทบทวนและดูว่าเราเข้าใจจริงไหม หลังจากนั้นเอาไปเล่าให้เพื่อน ๆ ฟัง นอกจากจะเป็นการทบทวนแล้ว ยังช่วยให้คนอื่นรู้สึกดีกับเรา ที่เราเป็นคนแบ่งปัน
นอกจากนี้ยังเอาไปใช้ในการลงเรียนคอร์สต่าง ๆ หากเราเรียนเรื่อย ๆ ทุกเดือน ในปีต่อ ๆ ไปเมื่อเรามีเงินมากขึ้น เงินในส่วนนี้ก็จะมีมากขึ้น และเราจะสามารถไปเรียนในวิชาหรือเรียนกับครู รวมถึงพบเพื่อนที่มีความรู้มากขึ้น ยากขึ้น คนที่เราเจอก็จะเป็นคนที่ดีและเก่งขึ้น การไปเรียนไม่ใช่แค่เสริมความรู้ แต่ยังเป็นการเพิ่มเพื่อนและทำความรู้จักคนที่มีความสามารถมากยิ่งขึ้น
ส่วนที่ 4: การท่องเที่ยว (10%)
ส่วนที่สี่ให้ใช้ไปกับการท่องเที่ยว และต้องเป็นการเที่ยวต่างประเทศ ลี กาชิง เชื่อว่าการท่องเที่ยวจะช่วยเปิดโลกกว้างให้กับเราได้ หากเรายังเงินเดือนน้อยอยู่ อาจจะลองไปอยู่โฮสเทล ปัจจุบันโรงแรมหรือโฮสเทลเปิดโอกาสให้เราสามารถทำงานด้วย อยู่ด้วย (ทำงานเพื่อขอที่พักฟรี) เช่น บางคนขอไปทำงาน 3 วัน แล้วเที่ยว 4 วัน นอกจากช่วยเปิดโลกแล้วยังเป็นการชาร์จพลัง ให้ไฟในตัวกลับมาลุกได้เหมือนเดิม
ส่วนที่ 5: การเก็บออมและลงทุน (25%)
การเก็บออมชัดเจนว่าเก็บแล้วได้ดอกเบี้ย ส่วนการลงทุนอาจเป็นการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์หรือบริษัทต่าง ๆ แต่สิ่งที่ ลี กาชิง แนะนำ คือการลงทุนในการทำธุรกิจเล็ก ๆ ของตัวเอง อย่าไปกลัวว่ามันจะเจ๊ง ลองคิดว่าสมมุติเราซื้อของที่ร้านขายส่งแล้วเอามาขายต่อ ถึงแม้ว่าโอกาสเสียอาจจะมี แต่ถ้าได้กำไรก็จะได้เงินเพิ่ม ซึ่งการได้กำไรจะทำให้เรามีกำลังใจ มีความเชื่อมั่นกลับมา ได้ประสบการณ์และได้การเรียนรู้ รวมถึงมีเงินมากขึ้น ลงทุนต่อในระยะยาวได้ แต่ถ้าขาดทุนก็นับเป็นประสบการณ์ เพราะหากเอาไปลงทุนกับธนาคารเราอาจไม่ได้ความรู้ใด ๆ กลับมาเลย
เมื่อเราทำงานไปได้สัก 1 – 2 ปี เงินเดือนเราจะเพิ่มขึ้น คนรู้จักเพิ่มขึ้น นั่นหมายความว่าเราต้องทำงานหนัก หารายได้เสริม หางานเพิ่ม โดยเฉพาะถ้าได้ทำเกี่ยวกับการขายจะดีมาก เพราะการขายเป็นเรื่องท้าทาย และเป็นทางลัดให้เราได้รู้จักศิลปะของการขายซึ่งจะเป็นทักษะที่ติดตัวไปเป็นอาชีพการงาน
ลี กาชิง มองว่าหากเราสังเกตผู้ประกอบการที่ประสบความสำเร็จ ทุกคนล้วนแต่เป็นนักขายทั้งนั้น ถึงแม้ว่าเขาอาจจะไม่ได้ขายโดยตรง แต่สิ่งหนึ่งที่เขามีความสามารถในการขายได้คือ การขายฝันและวิสัยทัศน์อันกว้างไกลให้กับคนอื่นรอบ ๆ ตัวของเขาได้ การขายจะทำให้เราเป็นคนมีความรู้ความสามารถ มันจะเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต เราจะรู้ว่าอะไรที่ควรขาย และสำคัญไปกว่านั้นคืออะไรที่ไม่ควรขาย
ลี กาชิง แนะนำว่าถึงเราเก็บออม แต่สิ่งสำคัญคืออย่าเอาเงินที่ใช้ได้ ไปซื้อเสื้อผ้ารองเท้าที่ราคาแพงเกินตัว เราสามารถซื้อของพวกนั้นได้เมื่อรวยแล้ว แต่ตอนนี้ที่เงินยังไม่เยอะ ขอให้เก็บไว้ ถ้าอยากใช้จริง ๆ ให้เก็บไว้เพื่อซื้อของขวัญเล็ก ๆ ให้คนที่เรารัก แล้วบอกเขาถึงแผนการทางการเงินของเรา ว่าเรากำลังวางแผนอะไร แล้วทำไมเราถึงต้องประหยัด เขาจะได้รู้ว่าฝันของเราคืออะไรและเราต้องการอะไร
ลี กาชิง บอกว่านักธุรกิจคนไหนก็ต้องการผู้ช่วยงานทั้งนั้น หากมีโอกาส เขาอยากให้เราลองช่วยงานนักธุรกิจ เพราะการทำงานจะทำให้เราเก่งขึ้น ลับคมตัวเอง และเข้าใกล้เป้าหมายทางการเงินมากขึ้น เขามองว่าในปีที่สองเราควรมีเงินเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ แต่ไม่ว่าจะได้เงินเท่าไหร่ อย่าลืมแบ่งออกเป็น 5 ส่วน เพื่อใช้ในการสร้างเพื่อนและแวดวงคนรู้จัก เพราะเมื่อเรารู้จักคนมากขึ้น รายได้เราก็จะเพิ่มตามขึ้นไปด้วย
ถ้าทำแบบนี้ได้ เราจะมีเงินเหลือเก็บ สุขภาพดีชีวิตดี รายล้อมไปด้วยคนดี ๆ เพื่อนดี ๆ และสามารถต่อยอดความสัมพันธ์ให้ดียิ่งขึ้น แน่นอนว่าถ้าใช้สูตรนี้ ความรู้ การศึกษาก็จะมากขึ้น ตามมาด้วยงานที่ยากขึ้น และโอกาสที่ใหญ่ขึ้น แต่เราก็จะเข้าใกล้ความฝันที่จะมีบ้านมีรถมากขึ้นอีกด้วย
เขาบอกว่าชีวิตเราสามารถออกแบบได้ รวมถึงอาชีพการงาน ความสุข ฉะนั้นเราควรเริ่มวางแผนตั้งแต่ตอนที่ไม่มีเงิน สิ่งเหล่านี้เป็นศิลปะของการใช้ชีวิต เมื่อเราไม่มีเงิน เราควรอยู่นอกบ้าน ใช้เงินกับคนอื่น แต่เมื่อเรารวย เราต้องหัดให้คนอื่นทำดีกับเรา และเรียนรู้ที่จะทำดีกับตัวเองด้วย เมื่อเราไม่มีเงินเราต้องออกไปหาข้างนอก ไปเจอผู้คน ไปทำประโยชน์ให้เรา แต่เมื่อเรารวยแล้วเราควรอยู่นิ่ง ๆ และไม่ควรให้ใครมาหลอกใช้เรา เพราะนี่คือวิถีชีวิตที่ควรจะเป็น และน้อยคนจะเข้าใจ
คำแนะนำต่อมาคือ พยายามอย่าซื้อเสื้อผ้าดูดีราคาแพง หรือทานข้าวนอกบ้านบ่อย แต่ถ้าหลีกเลี่ยงไม่ได้จริง ๆ ทุกครั้งที่ไปทานนอกบ้านให้จดไว้ว่าใช้เงินไปกับการทานข้าวไปเท่าไหร่ หรือหากจ่ายเงินเลี้ยงเพื่อน ต้องมั่นใจว่าเพื่อนคนนั้นมีความฝันที่ยิ่งใหญ่กว่าและทำงานได้ดีกว่า
เมื่อเราจัดสรรเงินได้ดีจนไม่มีปัญหาการใช้ชีวิตแล้ว ส่วนที่เหลือสามารถนำไปใช้สร้างฝันตัวเอง ลุยทำสิ่งที่อยากทำ กล้าลงมือทำ และทำให้ชีวิตสนุกอย่างที่ควรจะเป็น
มีทฤษฎีจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดบอกว่า สิ่งที่ทำให้เราแตกต่าง คือการเลือกใช้ชีวิตในช่วง 2-4 ทุ่ม หลายคนใช้มันไปกับการดูละครหรือเกมโชว์ แต่บางคนใช้มันไปกับการศึกษาหาความรู้เพิ่มเติม และถ้าเราทำได้ ความสำเร็จจะอยู่ตรงหน้าเราในเวลาไม่นาน
เพราะฉะนั้นไม่ว่าจะมีเงินเท่าไหร่ อย่าลืมแบ่งเป็น 5 ส่วนแล้วสร้างเพื่อนใหม่ หาความรู้และเรียนรู้จากเขา ยิ่งเรามีวงเนตเวิร์กมากเท่าไหร่ ยิ่งได้รับผลตอบแทนมากเท่านั้น เรื่องใดที่ผ่านมาก็ปล่อยมันไป ให้อดีตเป็นบทเรียนให้เราเรียนรู้ มันไม่แปลกที่เราจะทำผิดพลาด เพราะทุกคนที่ประสบความสำเร็จก็ผิดพลาดกันทั้งนั้น หัวใจสำคัญคือเมื่อพลาดแล้วไม่ควรพลาดอีก เมื่อผิดแล้วไม่ควรผิดที่เดิมอีก การประสบความสำเร็จในชีวิตไม่ใช่เรื่องง่าย ไม่สำหรับว่ารวยหรือจน แต่ทุกอย่างมีบทเรียนที่ดีสำหรับทุกคนเสมอ
ถอดความจาก: Morning Call Podcast โดยคุณเก่ง สิทธิพงศ์ ศิริมาศเกษม
ฟังแบบเต็ม ๆ ได้ที่: SOUNDCLOUD
บทความแนะนำ