Trending News

Subscribe Now

เปลี่ยนความคิด ชีวิตการทำงานก็เปลี่ยน

เปลี่ยนความคิด ชีวิตการทำงานก็เปลี่ยน

Morning Call | Podcast

“อย่าทุ่มเทกับงานที่บริษัทมากจนเกินไป
เพราะต่อให้เราทำงานให้บริษัทจนตาย
สุดท้ายบริษัทก็จะหาคนใหม่มาอยู่ดี”

คุณคิดยังไงกับประโยคนี้ ?
คิดว่าถูกหรือผิด? 
ในความเป็นจริงประโยคนี้มีทั้งส่วนที่ถูกและผิดอยู่

ส่วนที่ถูกคือ ถ้าเราป่วยจนต้องนอนโรงพยาบาลเป็นปี บริษัทก็จำเป็นต้องหาคนมาทำงานแทน เหมือนกับนาฬิกาที่ทำงานด้วยฟันเฟืองมากมาย ถ้าเฟืองหนึ่งพัง ก็จำเป็นต้องหาเฟืองอันใหม่มาเปลี่ยนเพื่อให้นาฬิกาสามารถกลับมาเดินได้เหมือนเดิม เพราะถ้ามัวแต่รอเฟืองเก่ามากลับมาใช้งานได้ ก็ส่งผลกระทบต่อเฟืองทุกตัว จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ประโยคด้านบนถูก ถ้าเราไม่สบายบริษัทก็ต้องหาคนใหม่ ไม่ต่างอะไรกับตอนที่เราลาออกและบริษัทต้องหาคนมาแทน

แต่ส่วนที่ผิดคือ ประโยคที่ว่า “เราทำงานให้บริษัท” เพราะเราไม่ควรคิดว่ากำลังทำงานให้บริษัทเพียงอย่างเดียว หัวใจคือเราต้องทำงานให้ตัวเองด้วย ลองถามตัวเองว่าทุกวันนี้เวลาเราตื่นเช้าขึ้นมา อาบน้ำ ขึ้นรถมาทำงาน เรามาทำงานทำไม? 

หลายคนตอบว่าเราทำงานเพื่อเงิน ถ้าไม่อยากได้เงินจะมาทำงานทำไม แต่เงินเป็นคำตอบที่ผิด เราอาจจะเถียงว่ามันผิดได้ยังไง นั่นก็เพราะถ้าเราทำงานเพื่อเงินปัญหาจะเกิดทันที

เราจะมีความคิดว่า ตื่นเช้าเพราะต้องตื่น ต้องไปทำงานให้ทัน ห้ามสาย เพราะจะโดนปรับเงิน ทุกอย่างถูกนำด้วยเงิน (Money Driven) เราจะรู้สึกว่าตราบใดที่เรายังเข้างานตรงเวลาเป๊ะก็จะไม่ถูกปรับเงิน แต่พอเรามาถึงตรงตามเวลาที่บริษัทกำหนด สิ่งที่เกิดขึ้นคือเราจะรู้สึกว่าเราสามารถทำอะไรก็ได้ จะเดินเล่น คุยกับเพื่อน ชงกาแฟ กินข้าวเช้าก็ได้ ไม่ต้องสนใจอะไรแล้ว เพราะมาตรงเวลาแล้ว แปลว่าไม่โดนหักเงินแล้ว

เมื่อเราทำงานแบบนี้ไปเรื่อย ๆ ชีวิตก็จะน่าเบื่อ การทำงานจะกลายเป็นเรื่องที่ต้องทำ โดนบังคับให้ทำ ถ้าไม่ทำก็จะไม่ได้เงิน เรื่องนี้แค่เราเปลี่ยนความคิดเป็นอีกมุมทุกอย่างจะเปลี่ยนไปเลย

ภาพจาก Miguel Á. Padriñán, Pexels

ลองคิดว่าจริง ๆ แล้วเราไม่ได้ทำงานเพื่อบริษัทอย่างเดียว แต่เราทำงานเพื่อตัวเราเองด้วย ลองคิดว่าถ้าบริษัทเป็นเรือลำหนึ่งที่กำลังเดินทางไปที่ไหนสักแห่ง และเราเป็นคน ๆ หนึ่งที่อยู่บนเรือลำนี้ โดยเรือลำนี้มีเพื่อนร่วมงานหลากหลายขึ้นกับขนาดของเรือบางลำมี 10 คน บางลำมี 100 คน เราเป็นคนที่ทำงานอยู่บนเรืออาจเป็นพ่อครัว ช่างเครื่อง คนพายเรือ แต่ไม่ว่าเราจะเป็นใคร ล้วนแต่มีความสำคัญต่อเรือลำนี้ ถ้าเราเป็นคนพายแต่ขี้เกียจพาย เรืออาจช้าลงเพราะขาดแรงไปหนึ่งแรง ถ้าเป็นพ่อครัวแต่ไม่ทำอาหาร คนพายเรือก็อาจจะหิว

ดังนั้นทุกคนมีหน้าที่ที่สำคัญ เป็นฟันเฟือง เป็นที่พึ่งซึ่งกันและกัน หมายความว่าเราทำงานเพื่อบริษัท เพื่อเรือลำนี้ เพื่อให้มันไปยังทิศที่มันกำลังจะไปได้ แต่ไม่ไม่ใช่เพื่อเรื่อลำนี้เพียงอย่างเดียว เรากำลังทำเพื่อตัวเราเองด้วย

ประเด็นคือ เรารู้หรือยังว่าเราจะทำอะไร เป้าหมายของเราคืออะไร แล้วเรือลำนี้มันไปทิศทางเดียวกับเราหรือเปล่า? ถ้าเรือลำนี้กำลังไปทางทิศเหนือ แต่เราอยากไปทิศใต้ นั่นก็แปลว่าเราขึ้นเรือผิดลำ แต่ถ้าเราอยากจะไปทิศเหนือเหมือนกันนั่นก็เยี่ยมเลย เพราะแปลว่าเราไม่ต้องว่ายไปเอง เรามีเพื่อนช่วยเราพาย ทำให้เราสามารถถึงที่หมายได้เร็วกว่าว่ายเอง 

คำถามคือ เรารู้หรือยังว่าบริษัทหรือเรือลำที่เรากำลังทำงานอยู่กำลังจะไปไหน? และที่สำคัญมากไปกว่านั้นคือ เรารู้หรือยังว่าตัวเองกำลังจะไปทางไหน? ถ้าบอกว่าเราทำงานเพื่อเงิน ไม่ว่าเรือลำนี้กำลังจะมุ่งไปทางทิศไหนเราจะไม่แคร์อะไรเลย เพราะแค่ขอแค่เจ้าของเรือจ่ายเงินค่าพายเรือให้ เราก็อยู่แล้ว

ดังนั้นเลยมีคนที่ยอมไปกับเรือลำไหนก็ได้ที่จ่ายเงินดีกว่า เราจะกระโดดขึ้นเรือที่ไปทางทิศเหนือถ้าเจ้าของเรือจ่าย วันหนึ่งเจอเรืออีกลำกำลังมุ่งไปทางทิศตะวันตกเสนอเงินเพิ่มให้ 2 เท่า เราก็ไป สักพักเราเจอเรืออีกลำที่กำลังจะไปทางทิศใต้เสนอเงินให้มากกว่าก็เปลี่ยนอีก นั่งเรือวนไป วนมา สามลำ แต่กลับมาอยู่ที่เดิม

จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมคนที่ทำงานเยอะ วนลูปไปเรื่อยจึงไปไม่ถึงไหน เพราะทำงานแบบไม่มีเป้าหมาย ไม่รู้ว่ากำลังจะไปไหน ไม่สนใจว่าเรือจะพุ่งไปทางไหน ทำงานเพื่อเงินเท่านั้น การรู้ว่าบริษัทที่เราทำงานอยู่กำลังไปทางไหนจึงสำคัญ ถ้าตอนนี้ยังไม่รู้ ศึกษาเลย ดูว่าวิสัยทัศน์หรือภารกิจของบริษัทกำลังจะก้าวไปทางไหน เจ้านายเราอาจบอกว่าภายในสองปีอยากบุกเอเชียให้ได้ และถ้าเป้าหมายของเราคือการเป็นนักการตลาดที่ยิ่งใหญ่และประสบความสำเร็จในต่างประเทศ แปลว่าเรือลำนี้กำลังไปทิศทางเดียวกับเรา เราก็จะรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้รับจ้างพายเรืออีกต่อไป เป้าหมายคือการไปพร้อมบริษัท เพราะถ้าบริษัทสามารถมีชื่อเสียงในต่างประเทศได้จริง คุณก็มีได้เหมือนกัน

ดังนั้นเมื่อเป้าหมายบริษัทชัด เป้าหมายเราชัด เราก็จะรู้ว่าเรือลำนี้ไปในทิศทางเดียวกับเรา และมันไม่ได้เป็นการเสียเวลาเลย การตื่นเช้าในทุกวันจะมีความหมายมากยิ่งขึ้น

ในทางตรงกันข้าม ถ้าบริษัทนี้มีเป้าหมายจะบุกต่างประเทศแต่เราไม่อยากไป เพราะแค่ตอนนี้ทำงานอยู่กรุงเทพฯ ก็อยากหนีไปทำงานต่างจังหวัดแล้ว เป้าหมายของเราคือการเลิกงานห้าโมงเย็นและกลับบ้านแบบรถไม่ติด แสดงว่าเรากับเรือลำนี้กำลังไปคนละทาง เรือขึ้นเหนือแต่เราอยากลงใต้ มันจึงไม่แปลกถ้าเราจะทิ้งเรือลำนี้ไป และหาเรือที่วิ่งลงทิศใต้แทน

หัวใจคือทุกวันนี้อย่าทำงานเพื่อเงิน ไม่อย่างนั้นการตื่นเช้ามาทำงานทุกวันจะน่าเบื่อแบบสุด ๆ  แต่ให้คิดว่าเรากระโดดขึ้นเรือลำใหญ่ ที่เราต้องรู้ว่าเรือลำนี้กำลังไปทิศไหน และไปในทิศเดียวกับเราไหม

คำถามคือเรารู้หรือยังว่าบริษัทกำลังจะไปทิศไหน แล้วคุณรู้หรือยังว่าเราอยากจะไปทิศไหน

ถอดความจาก: Morning Call Podcast โดยคุณเก่ง สิทธิพงศ์ ศิริมาศเกษม
ฟัง EP. นี้แบบเต็ม ๆ ได้ที่: SOUNDCLOUD, Spotify

บทความที่คุณอาจสนใจ

Related Articles

4 วิธีเรียกสติ โดยไม่ต้องนั่งสมาธิ

พอเวลาเราเจอหลายเรื่องที่เข้ามาจนบางครั้งก็ต้องนั่งพิงหลังตั้งสติ แต่บางทีเมื่อทำงานในออฟฟิศ จะบอกให้ทุกคนหยุดแล้วขอนั่งสมาธิก่อนก็คงไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นจะทำอย่างไรดีในช่วงเวลาที่เรารู้สึกวุ่นหวายยุ่งเหยิงมาก อยากได้จังหวะที่โฟกัส แต่ถ้าตอนนั้นสถานการณ์และสถานที่ไม่เอื้อต่อการนั่งสมาธิ จะมีวิธีใดได้บ้างที่จะเรียกสติโดยไม่ต้องนั่งสมาธิ ลองมาดูกัน 1. ทำสมาธิโดยการสร้างมโนภาพ…

Podcast | The Organice

รู้จัก Fitts’s law เหตุผลว่าทำไมเบรกต้องมีขนาดใหญ่กว่าคันเร่ง

รถแทบจะทุกยี่ห้อมีการออกแบบที่หน้าตาคล้าย ๆ กัน คือฟังก์ชันการใช้งานหลายอย่างจะอยู่ในตำแหน่งเดิม ทำให้เวลาที่เราใช้รถของคนอื่นหรือเปลี่ยนรถใหม่ จะใช้เวลาไม่นานในการทำความคุ้นเคยกับมัน เหมือนเวลาที่เข้าร้านสะดวกซื้อแล้วรู้ว่าอะไรอยู่ตรงไหน เบรกกับคันเร่งเองก็เป็นหนึ่งในฟังก์ชันที่อยู่ในตำแหน่งเดิมและหน้าตาคล้ายกันในทุกยี่ห้อทุกรุ่น แต่ทำไมเบรกถึงต้องมีขนาดใหญ่กว่าคันเร่งกันล่ะ? วันนี้เราจะมาหาคำตอบ…

Design You Don't See | Podcast
commodo facilisis ultricies commodo ut felis Praesent Aliquam ut mattis libero.