ยูวาล โนอาห์ ฮารารี่ เคยพูดไว้ว่า สามสิ่งที่จะท้าทายคนในอนาคตคือ นิวเคลียร์ การเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศ และการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี โดยเฉพาะ AI
แต่เรื่องของเทคโนโลยีและ AI ดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่น่ากลัวมากที่สุดเรื่องหนึ่ง สาเหตุเพราะ AI เป็นเรื่องเดียวที่มนุษย์ยังไม่สามารถคาดเดาได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอนาคตข้างหน้า คำว่าข้างหน้าที่พูดถึงนั้นไม่ต้องคิดไปไกล แค่ 5 ปี ข้างหน้านี้เรายังคาดการณ์อะไรจริง ๆ ไม่ได้เลย ขณะที่นิวเคลียร์ และ การเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศเป็นสิ่งที่เรารู้แล้ว เข้าใจแล้ว เหลือแค่ว่าจะสามารถควบคุมและรณรงค์ได้ขนาดไหน
บทความจาก South China Morning Post ได้เขียนไว้ว่า..
MIT Technology Review ได้ออกรายงานมาเมื่อวันพุธที่ผ่านมาว่า การเข้ามาของ AI อาจจะทำให้เกิดความตื่นตกใจจนถึงขั้นช็อคได้เลย ถ้ารัฐบาลในเอเชียอย่างเรา ๆ ยังไม่เตรียมพร้อมรับมือ
ซึ่งผลข้างเคียงที่พูดถึงนั้นคือเรื่องของจำนวนงานที่กำลังจะหายไป ขณะเดียวกันงานใหม่ ๆ ก็จะเกิดขึ้นเป็นจำนวนไม่น้อย “ดังนั้นผู้ที่มีอำนาจตัดสินใจของแต่ละประเทศในเอเชียจำเป็นต้องตระหนักถึงเรื่องนี้ และควรให้ความสำคัญกับการ Reskill คนในประเทศ”
และคำว่า Reskill นี้น่าสนใจ Reskill หมายถึงการพัฒนาศักยภาพและความสามารถของคนให้ไม่เพียงแค่เพิ่มมากขึ้น แต่หมายถึงการต้องเรียนรู้สิ่งใหม่ด้วย
อย่างไรก็ตาม รายงานของ MIT บอกว่า “ปัจจุบันนี้รัฐบาลในเอเชียจำนวนไม่น้อยที่ยังมีระบบไม่พร้อมรับมือกับเรื่องนี้”
รายงานฉบับนี้ทำโดยการสอบถามจากผู้บริหารระดับสูงทั้งหมด 900 คน จาก 13 ประเทศในเอเชีย ไม่ว่าจะเป็น จีน ฮ่องกง ออสเตรเลีย อินเดีย ญี่ปุ่น มาเลเซีย เวียดนาม สิงคโปร์ และเกาหลีใต้ ซึ่งมากกว่าครึ่งเป็นผู้บริหารที่มาจากบริษัทที่มีรายได้มากกว่า 1พันล้านเหรียญ
ปัจจุบันนี้ AI ได้ถูกเรียกว่าเป็น “The Fourth Industrial Revolution” ไปแล้ว ซึ่งเชื่อว่าภายในปี 2020 นี้ AI จะทำลายตำแหน่งงานมากกว่า 75ล้านตำแหน่ง ในขณะเดียวกันก็ยังสร้างงานเพิ่มขึ้นอีก 133ล้านตำแหน่ง ซึ่งรายงานจาก Oxford ก็ได้บอกว่า แค่ภายในประเทศสหรัฐอเมริกาอย่างเดียวก็อาจจะได้เห็นตำแหน่งงานมากกว่า 67.7ล้านตำแหน่งหายไปภายในอีก 20ปีข้างหน้า
ประเทศในเอเชียที่จะมีผลกระทบเรื่องงานที่เปลี่ยนไปเช่นนี้มากที่สุด ก็คือประเทศที่กำลังพัฒนาหรือมีการพัฒนาต่ำ เพราะประเทศเหล่านี้ไม่มีทรัพยากรมากพอที่จะ “Reskill” คนในประเทศ ขณะที่ประเทศที่พัฒนาแล้วจะมีความสามารถและมีการเตรียมพร้อมด้านนี้มากกว่า
ในประเทศอย่างฟิลิปปินส์ เวียดนาม และอินเดีย คาดว่าจะมีโอกาสสูญเสียตำแหน่งงานมากถึง 13% ภายใน 5 ปีข้างหน้า
ดังนั้นถึงเวลาแล้ว ที่ผู้นำในแต่ละประเทศจะต้องตระหนักถึงความเปลี่ยนแปลงนี้ และเตรียมพร้อมรับมือกับการให้ความรู้ การ Reskill คนภายในประเทศ
บริษัทส่วนใหญ่ที่ขณะนี้กำลังปรับตัวเพื่อนำ AI เข้ามาทำงานนั้น ส่วนมากจะมีเหตุผลอยู่ 3 ข้อ นั่นคือ เพื่อเพิ่มความสามารถในการรับมือและดูแลลูกค้า, เพื่อทำให้การตัดสินใจรวดเร็วขึ้น และ เพื่อลดค่าใช้จ่าย
AI จะเข้ามามีผลต่องานที่เกี่ยวกับการดูแลลูกค้า การขาย การตลาด และการพัฒนาสินค้า เป็นอย่างมาก และมีการเติบโตด้านนี้สูง ขณะที่งานด้านการเงิน และทรัพยากรมนุษย์ หรือ Human Resources นั้นจะลดลง เพราะตำแหน่งงานที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์นั้นลดลง โดยประเทศที่เราจะเห็นการเติบโตและเปลี่ยนแปลงในด้านนี้อย่างชัดเจนคือ ญี่ปุ่น สิงคโปร์ และออสเตรเลีย
ความจริงแล้วเอเชียถือเป็นทวีปที่มีการเติบโตและความเป็นผู้นำด้าน AI สูงมาก อย่างที่เราพอจะทราบแล้วว่า จีน นั้นได้ประกาศตัวว่าจะเป็นผู้นำทั้งในด้านการวิจัยและพัฒนา เพื่อทำให้เกิดผลสำเร็จ ซึ่งจากการสำรวจจากผู้ทีให้ข้อมูลบอกว่า บริษัทของพวกเขานั้นกำลังนำ AI เข้ามาใช้ในบริษัทแล้ว และ 90% บอกว่า น่าจะใช้งานได้จริงภายในปี 2020 นี้
AI คืออีกสิ่งที่ทั้งภาครัฐและเอกชนจำเป็นต้องเรียนรู้และเข้าใจ เพื่อพร้อมรับมือ ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป เพราะด้วยสองปัจจัยคือ หนึ่ง AI เป็นสิ่งที่ยังไม่มีใครสามารถคาดการณ์อนาคตระยะไกลได้ และ สอง มันมีผลลัพท์โดยตรงกับคนทั้งประเทศ
ที่มาของข้อมูล https://www.scmp.com/tech/policy/article/3009168/job-disruption-ai-era-likely-catch-asian-governments-surprise-says-mit