หลายคนทั่วโลกประสบปัญหาต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำงานอย่างกระทันหัน เพราะ COVID-19 จากเดิมทำงานที่ออฟฟิศ ปัจจุบันทำงานที่บ้าน ต้องปรับตัวกับอุปกรณ์และขั้นตอนการทำงานแบบใหม่ ซึ่งความกังวลเรื่องต่อมาของหัวหน้างานคือ เมื่อพนักงานทำงานที่บ้านแล้ว จะทำอย่างไรเพื่อรักษาประสิทธิภาพการทำงานให้ดีเท่าเดิม จึงนำมาซึ่งรายการงานต่าง ๆ ที่มากขึ้นและต้องเร่งทำให้เสร็จ โดยที่ลืมว่าผลในระยะยาวอาจทำให้พนักงานเกิดความเหนื่อยล้าสะสมจากการทำงานอย่างต่อเนื่อง และนำมาสู่อาการของคนที่หมดใจ หมดไฟในการทำงานไปในที่สุด
ปัญหาที่คนทำงานต้องเจอ เมื่อ Work From Home
เมื่อคนเริ่มทำงานที่บ้านจะเริ่มพบปัญหาหลายอย่าง เช่น ต้องเรียนรู้อุปกรณ์และเทคโนโลยีที่ไม่เคยใช้ทำให้รู้สึกลำบากในช่วงแรก การติดต่อคุยงานที่ยุ่งยากไม่เหมือนกับมานั่งคุยกัน การที่ต้องตอบอีเมลทันทีแม้จะเป็นช่วงเวลาหลังเลิกงานหรือวันหยุด ถึงแม้งานนั้นจะไม่เร่งด่วนก็ตาม การที่ต้องถูกรบกวนจากสภาพแวดล้อมในบ้าน เช่น เสียงเด็ก เสียงสุนัข และสุดท้ายเมื่อบ้านและที่ทำงานกลมกลืนเป็นพื้นที่เดียวกัน มีผลทำให้ใครหลายคนเริ่มรู้สึกแยกเวลาไม่ออกว่า เวลาไหนควรทำงาน เวลาไหนควรพัก เพราะทุกๆ วันในความรู้สึกกลายเป็นวันทำงาน และวันหยุดก็ไม่มีอยู่จริง เกิดอาการเบื่อ ไม่อยากทำงาน ผลในระยะยาวคือประสิทธิภาพการทำงานลดลง
3 วิธีหลีกเลี่ยงอาการหมดไฟในการทำงาน จาก Work From Home
เราจะจัดการแบ่งเขตเวลาการทำงานและชีวิตส่วนตัวในห้องเล็ก ๆ นี้ได้อย่างไร โดยที่ชีวิตไม่ห่อเหี่ยวไปเสียก่อน 3 เทคนิคนี้อาจช่วยคุณได้
1. เริ่มวันใหม่ด้วยแต่งตัวเสมือนไปทำงานที่ออฟฟิศ
จริงอยู่ว่าข้อดีของการทำงานที่บ้านคือ เราไม่ต้องไปเหนื่อยเบียดเสียดคนเพื่อเดินทางไปทำงานจะตื่นกี่โมงก็ได้ แถมตื่นมาก็ทำงานได้เลยทันที แต่จะไม่ดีอย่างยิ่งหากเราทำงานในชุดนอนแบบนั้นทั้งวัน เพราะการแต่งตัวที่สบายๆ ความรู้สึกเราจะบอกว่ามันคือการอยู่บ้าน แต่เมื่อใส่ชุดทำงานหมายถึงการที่เราพร้อมทำงาน เพราะฉะนั้นในแต่ละวันหลังจากตื่นนอนควรอาบน้ำเรียบร้อย แต่งตัวด้วยชุดทำงานเหมือนไปทำงานจริง ๆ ทำงานเสร็จก็ถอดชุดออก การทำแบบนี้จะช่วยให้เราแบ่งเขตของการทำงานและการอยู่บ้านได้อย่างชัดเจน
2. ค้นหาช่วงเวลาทองในการทำงานของคุณ
ปกติเวลาทำงานที่ออฟฟิศเราจะมีช่วงเวลาที่ชัดเจน เช่น 9 โมงเช้า – 6 โมงเย็น โดยมีบรรยากาศและสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการทำงานได้ดี แต่เมื่อเราต้องทำงานจากที่บ้าน แต่ละคนอาจมีปัญหาเรื่องสัดส่วนพื้นที่ทำงานไม่สะดวกสบาย หรือสิ่งรบกวนในบ้าน โดยเฉพาะช่วงนี้ที่ทุกโรงเรียนต่างปิดกันหมด และเด็กต้องอยู่กับบ้าน ซึ่งพ่อแม่ก็ต้องดูแลลูกไปด้วย จนกลายเป็นว่าเวลา 9 โมงเช้า – 6 โมงเย็น นี้ จะไม่ใช่เวลาที่ทำงานได้อย่างมีสมาธิเหมือนตอนที่อยู่ออฟฟิศ ดังนั้น คุณต้องหาช่วงเวลาทองที่จะโฟกัสกับงานสำคัญของวันนั้นให้เสร็จ เป็นช่วงเวลาที่คุณจะทำงานจริงจรังโดยที่ไม่ต้องเข้าโซเชียล ไม่ต้องตอบแชตงาน ปราศจากสิ่งรบกวนต่างๆ และแจ้งให้หัวหน้าและเพื่อนร่วมงานเข้าใจตรงกัน
3. โฟกัสกับการทำงานที่สำคัญที่สุดของวันนั้น
คนเราอาจจะทำงานได้หลายอย่างในหนึ่งวัน แต่พลังงานของเรามีจำกัด จากงานวิจัยพบว่า คนจะทำงานได้มีประสิทธิภาพสุด ๆ ได้ประมาณ 3 ชั่วโมงต่อวัน และต้องปราศจากการขัดจังหวะหรือการที่ต้องทำงานหลายอย่างไปพร้อมกัน แต่สำหรับคนทำงานที่บ้านจะถูกกดดันด้วยเหตุผลที่ว่าเราต้องมีผลงานส่ง จึงทำให้หลายคนเน้นไปทำงานที่ทำได้เร็ว จบเร็ว เน้นปริมาณ แทนที่จะโฟกัสกับงานที่สำคัญที่สุด ซึ่งในระยยาวทำให้พนักงานต้องเจอกับปริมาณงานที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนจัดลำดับความสำคัญไม่ได้ เพราะฉะนั้นควรเริ่มจากการโฟกัสงานที่สำคัญที่สุดในวันนั้น และเคลียร์มันให้จบซะ
ถึงแม้ว่ายุคนี้จะเป็นยุคของชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัวที่ผสมผสานกันจนแยกไม่ออก และคำที่ว่า Work Life Balance ไม่มีจริง แต่สิ่งสำคัญคือเราจะจัดการสองส่วนนี้ให้บาลานซ์กันได้อย่างไร แต่สุดท้ายไม่อยากให้มองว่าชีวิตเราเป็นตามยุคสมัยไหนๆ เพราะสภาพร่างกายและจิตใจแต่ละคนต่างกัน การมองและยอมรับตัวเอง โดยที่ไม่ต้องฝืนเกินไป จะช่วยให้เราหาวิธีปรับตัวในแบบของแต่ละคนได้ ก่อนที่จะหมดไฟโดยไม่รู้ตัว
เรื่อง : ดวงพร วิริยา
ภาพ : สุธาทิพย์ อุปสุข