Trending News

Subscribe Now

สรุป 4 เทรนด์ของจีนที่จะเกิดขึ้นในปี 2019 จาก China Internet Report

สรุป 4 เทรนด์ของจีนที่จะเกิดขึ้นในปี 2019 จาก China Internet Report

Article | Morning Call | Podcast | Technology

บทความนี้เราจะพูดถึงสรุป 4 เทรนด์ของจีนในปี 2019 จาก China Internet Report 2019 จัดทำโดยหนังสือพิมพ์ South China Morning Post เพิ่งปล่อยออกมาตอนมีงาน RISE Conference ที่ฮ่องกง เมื่อต้นเดือนกรกฎาคม 2562 

จีนในปี 2018 ที่ผ่านมา ได้พยายามผลักดันให้เกิดการขยายโครงสร้างอินเทอร์เน็ตให้ประชากรทุกคนสามารถเข้าถึงได้มากขึ้น เกิดความคุ้นชินกับการทำธุรกรรมต่าง ๆ บนโลกออกไลน์ รวมทั้งรัฐบาลเองยังเข้ามามีส่วนในการจำกัดดูแลเรื่องแอปพลิเคชันที่ไม่ดีและการลงทุนที่ดูมีความเสี่ยงอีกด้วย (อ่านเพิ่มที่ : ย้อนดูจีนในปี 2018 ที่ผ่านมามีสิ่งใดเกิดขึ้นไปแล้วบ้าง)

ก้าวต่อไปในการเติบโตและพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีของจีนจะเป็นอย่างไร เขาได้ตั้งเป้าไว้ 4 เรื่อง ซึ่งจะเป็นเทรนด์ของจีนในปี 2019 และจะบุกอย่างเต็มกำลัง ซึ่งเราได้สรุปมาให้อ่านเต็ม ๆ กันในวันนี้

เทรนด์ของจีนที่จะเกิดขึ้นในปี 2019

china internet report 2019

1. อุตสาหกรรมเทคโนโลยีของจีนกำลังถูกก๊อบปี้

เดิมเราชอบบอกว่าของปลอมต้องมาจากจีน จากเดิมที่เขาเป็นคนก๊อปปี้ชาวบ้าน แต่ในปีนี้เขากำลังโดนชาวบ้านก๊อบปี้เองเสียแล้ว สิ่งที่เขาพูดถึงนั่นก็คือ Super App แอปพลิเคชันที่สามารถทำได้ทุกอย่างในหนึ่งแอปฯ เช่น WeChat ทำได้ทั้งแชท ช้อปปิง จ่ายเงิน ได้ในแอปพลิเคชันเดียว 

ทำไมจีนถึงบอกว่าถูกก๊อบปี้? เพราะเทรนด์โลกตอนนี้ พวกบริษัทใหญ่ ๆ  พยายามจะเปลี่ยนตัวเองให้กลายเป็น Super App เหมือนกัน เช่น Go-Jek บริษัทจากอินโดนีเซีย หรืออย่าง Line ก็พยายามเปลี่ยนตัวเองให้กลายเป็น Super App เช่นเดียวกัน ทั้งแชท ช้อปปิง จ่ายเงิน อ่านข่าว ดูดวง ได้แล้วในที่เดียว

หรือหากเป็นทางฝั่งอเมริกาก็เช่น Facebook ใช้เสพโซเชียล ดูข่าว ดูวิดีโอ แชท และถัดมาก็พยายามทำให้เราสามารถช้อปปิงออนไลน์ พร้อมจ่ายเงินผ่านแอปได้เลย โดยเฉพาะตอนนี้ที่ Facebook เพิ่งเปิดตัวสกุลเงินดิจิทัล (Cryptocurrency) ที่เรียกว่า Libra ซึ่งจับมือกับพันธมิตรหลายแห่ง โดยถ้าเกิดว่าทุกคนมี Libra เราก็จะซื้อ – ขายของผ่าน Facebook ได้โดยที่ไม่ต้องมานั่งโอนเงินหรือผูกบัตรเครดิตกับธนาคารให้ยุ่งยาก เพราะ Facebook จะเป็นตัวกลางตรงนี้อยู่แล้ว

อีกทั้งยังรวมไปถึง Social Commerce อีกด้วย การทำ Social Commerce ในจีนเองมีค่อนข้างเยอะ เช่น การขายของออนไลน์ ไลฟ์ขายของ และตอนนี้ในฝั่งของ Amazon ก็มี Amazon Live รวมทั้ง Instragram ก็เพิ่งเปิดตัวเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมากับ Checkout with Instagram ให้ผู้ใช้งานกว่า 130 ล้านคน สามารถซื้อของผ่านการกดปุ่ม product tags ได้ทันทีโดยไม่ต้องออกจากแอปพลิเคชัน

นอกจากนี้ก็ยังมี YouTube Shopping โดย Google กำลังวางแผนจะเพิ่มฟีเจอร์ shoping เข้าไปอยู่ใน YouTube ให้ได้ในปลายปี 2019 จะทำให้ผู้ใช้สามารถช้อปปิงผ่านโฆษณาของ YouTube ได้ทันที และเหล่าครีเอเตอร์ก็จะได้รับเงิน fees affiliate ประมาณว่าได้ค่าหัวคิวจากตรงนี้นั่นเอง

และสุดท้าย Short Video ของจีนที่ดัง ๆ เช่น TikTok ซึ่งตอนนี้ก็ได้มาเปิดบริษัทในประเทศไทยและกำลังขยายทีมงาน พยายามทำให้ TikTok บูมในประเทศไทย ในขณะที่อเมริกาก็มีการเลียนแบบแอปฯ คล้ายๆ กัน นั่นก็คือ Facebook’s Lasso ที่ดีไซน์มาสู้กับ TikTok เลยทีเดียว

2. จีนกำลังจะบุก 5G อย่างเต็มที่และนำหน้าคนอื่น

5G หรือ อินเทอร์เน็ตความเร็วสูง ที่เร็วขึ้นกว่าปัจจุบันถึง 10 เท่า การที่เร็วขึ้นนี้ก็จะทำให้กิจกรรมการใช้อินเทอร์เน็ตรวดเร็วไปด้วย เช่น การดูหนังได้เร็วขึ้น ดาวน์โหลดได้เร็วขึ้น รวมไปถึงเรื่อง IoT (Internet of Things) การสื่อสารที่รวดเร็ว ไม่มีการดีเลย์ หรือมีน้อยมากในระดับในเสี้ยวของเสี้ยววินาที ก็จะมีผลอย่างมากต่อการพัฒนาด้านอื่น ๆ เช่น ที่เราเคยได้ยินกันเรื่องของรถยนต์ไร้คนขับ ถ้าหากสัญญาณสื่อสารแรงมากโดยไม่มีการดีเลย์เลย รถยนต์ก็จะสามารถคุยกันเองได้ รู้ตำแหน่งของกันและกันได้ระดับเสี้ยววินาที คันนี้กำลังจะไป คันนั้นกำลังจะผ่าน โดยอาจจะไม่ต้องอาศัยไฟจราจรเลยก็ได้

นอกจากนั้น ยังมีผลต่อการผ่าตัดของแพทย์ เช่น แพทย์คนหนึ่งที่อยู่อเมริกาสามารถผ่าตัดคนไข้ที่อยู่กรุงเทพฯ ได้โดยผ่านเครื่องมือกล ซึ่งหากสัญญาณชัดเจนไม่มีติดขัด ภาพที่แพทย์เห็นก็จะมีความละเอียด ราบลื่น และแม่นยำยิ่งขึ้น เรียกได้ว่าเปลี่ยนโลกมาพอสมควร ยังไม่นับเรื่องของการจดจำใบหน้า (Face Reconition) ที่จะระบุตัวผู้ร้ายหรือคนที่อยู่ตามท้องถนน ซึ่งเป็นเรื่องที่จีนทำอยู่ตอนนี้ และ 5G ก็มีผลอย่างมาก

จีนบอกว่าโฟกัสเรื่อง 5G มาก ๆ และกำลังทำให้ขยายไปทั่วประเทศให้ได้มากที่สุด ปัจจุบันจีนขยาย 5G ออกไปทดลองมากกว่า 12 เมือง ในจำนวนนี้สามารถเข้าถึงประชากรได้มากถึง 167 ล้านคน เริ่มมีการตั้งเสาให้เข้าถึงแต่ละจังหวัด แต่ละหัวเมือง นอกจากนั้นยังมีการจดลิขสิทธิ์เทคโนโลยี 5G มากถึง 3,400 รายการ ในขณะที่เกาหลีมาเป็นอับ 2 มีประมาณ 2 พันกว่า และอเมริกามีเพียง 1.3 พันกว่ารายการ เท่านั้น โดยคาดว่าในปี 2020 จีนจะมีการขยายไปยังหัวเมืองขนาดกลางและขนาดใหญ่อื่น ๆ มากขึ้น

3. จีนจะพยามขยายเรื่อง AI ให้กว้างไกลกว่าเดิม

face raconition
ภาพจาก StreetVJ / Shutterstock.com

เรื่องแรกที่พูดถึงคือ Access Control อย่างที่ทราบไปว่าจีนมีการใช้พวก Face Reconition และต่อไปนี้ก็จะสามารถขยายเรื่อง Face reconition ไปใช้กับการขึ้นรถไฟฟ้าใต้ดินโดยการสแกนหน้าเพื่อจ่ายเงิน หรือการเช็กอินเข้าโรงแรมด้วยใบหน้าของเราได้เลย

นอกจากนั้น การระบุตัวตนจากใบหน้าก็จะช่วยในเรื่องของการช้อปปิง การคัดเลือกสินค้าดี ๆ มอบให้แต่ละคน ดังตัวอย่างของ JD.com ที่ตอนนี้มี 3D Fitting Room แสดงหุ่นตุ๊กตาที่เป็น AR จากนั้นให้เลือกชุดที่เหมาะกับหุ่นของเราให้ได้มากที่สุด รวมไปถึงการคัดเลือกคอนเทนต์และข่าวที่เหมาะสมกับแต่ละคนก็สามารถทำได้

ปัจจุบันการใช้ Face Reconition ในจีนมีเยอะมาก อยู่ในกล้องวงจรปิดตามเมืองและสถานที่ต่าง ๆ ทำให้สามารถจับคนร้ายได้ง่ายยิ่งขึ้น รวมไปถึงการดูว่าใครทำผิดกฎจราจรรบ้าง สามารถระบุตัวพลเมืองได้ว่าคนไหน ทำอะไร อยู่ที่ไหน อย่างไรบ้าง รวมถึงการขยายไปใช้กับระบบคลาวด์ เช่น การใช้ AI ช่วยเคลียร์ไฟเขียว ไฟแดง เพื่อช่วยระบายพื้นที่ที่รถติดมาก ๆ และยังไปไกลถึงการทำ Smart City เช่น การควบคุมไฟจราจร การเช็กชื่อเข้าเรียนด้วยการสแกนใบหน้าของนักเรียน นักศึกษา เป็นต้น

4. การให้คะแนนทางสังคมกับคนจีน (Social Credit) 

ตอนนี้จีนมีระบบการให้คะแนนคนจีนหรือที่เรียกว่า Social Credit กล่าวคือ ถ้าคุณมีคะแนนที่ดีเวลาไปสมัครงานหรือยื่นเรื่องต่าง ๆ สามารถทำได้ง่าย ในขณะเดียวกันหากคุณมีประวัติลักเล็ก ขโมยน้อย ผิดกฎจราจรบ่อย ๆ จะทำให้มีเครดิตที่ไม่ดี เวลาจะทำอะไรก็จะยากขึ้น เช่น การขอเอกสารไปเปิดบัญชีธนาคาร หรือการกู้เงิน เป็นต้น

เดิมทีจีนเคยประกาศเรื่อง Social Credit มาตั้งแต่ปี 2014 แต่ยังไม่เป็นจริงสักที ซึ่งปี 2020 นี้จะเป็นเดดไลน์ที่จะทำให้เกิดขึ้นจริงให้ได้ โดยก่อนหน้านี้การใช้ Social Credit ถูกทำด้วยบริษัทเอกชน เช่น การปล่อยเงินกู้ จะไม่ได้ดูแค่ statement เราแค่อย่างเดียว แต่ยังพิจารณาอีกหลายอย่าง เช่น ดูจากแบตเตอรี่ในมือถือตอนสิ้นวัน ถ้าแบตเตอรี่คุณเต็มอยู่ตลอดเวลา แสดงว่าคุณเป็นคนรับผิดชอบ ระมัดระวัง ไม่อยากให้โทรศัพท์แบตหมดกลางคัน ในขณะที่คนไหนแบตฯ หมดตอนสิ้นวันทุกที ก็แสดงว่าเป็นคนที่ละเลย โอกาสที่จะให้กู้เงินก็จะน้อยลง เป็นต้น ปัจจุบันจีนพยายามที่จะบริหารเรื่องพวกนี้ แต่อย่างไรก็พบว่าคนจีนยังมีเครดิตที่ไม่ดีมากถึง 13 ล้านคน เลยทีเดียว

จากทั้งหมดที่กล่าวมานี้คือ 4 เทรนด์ของจีนในปี 2019 เป็นที่น่าติดตามกันต่อไปว่าจีนเดินหน้าไปในทิศทางใดต่อไป สามารถทำได้สำเร็จอย่างที่ตั้งเป้าไว้หรือไม่ สำหรับใครที่สนใจศึกษาข้อมูลนี้ลองเข้าไปอ่านกันได้ที่ China Internet Report 2019 ซึ่งมีรายงานแบบฉบับเต็มให้ดาวน์โหลดกันด้วย

ภาพประกอบบทความจาก LIPING / Shutterstock.com

ถอดความจาก: Morning Call Podcast โดยคุณเก่ง สิทธิพงศ์ ศิริมาศเกษม
ฟังแบบเต็ม ๆ EP.1 ได้ที่: SOUNDCLOUD, Spotify, PodBean

บทความที่คุณอาจสนใจ

Related Articles

กระเทาะจิตวิทยามนุษย์ผ่านพฤติกรรมในสถานการณ์ ไวรัสโคโรน่า

ภาพการแย่งซื้อกระดาษชำระ ที่ญี่ปุ่นหรือประเทศฝั่งตะวันตก ตอนนี้คงแปลกตาสำหรับคนไทยแต่เมื่อหันกลับมามองบ้านเราเองแล้ว ผมว่าก็มีความไม่ต่างกัน แต่เป็นสินค้าจำพวกหน้ากากอนามัยและแอลกอฮอล์ที่ขาดแคลน และเมื่อสัปดาห์ก่อนนี้ หากเราไปตามห้าง หลายคนก็จะเริ่มเห็นการกักตุนอาหาร พฤติกรรมเหล่านี้ คือกระบวนการตอบสนองของมนุษย์ต่อสถานการณ์แพร่กระจายของไวรัสโคโรน่า…

Article | Creative/Design

รู้จักประเภทของ Influencer เลือกใช้อย่างไรให้ปัง คนฟังอินตาม

เมื่อพูดถึงการใช้ Influencer ในการโปรโมตแบรนด์ หลายคนจะนึกภาพว่า Influencer นั้นต้องมีฐานแฟนคลับติดตามจำนวนมาก ถึงจะทำให้คนรู้จักและเข้าถึงแบรนด์สำเร็จตามเป้าที่ตั้งไว้ ที่กล่าวมาก็มีส่วนอยู่บ้าง แต่อาจจะไม่ใช่ทั้งหมด เพราะในความเป็นจริงแล้ว…

Article | Digital marketing
quis risus. luctus et, mattis fringilla leo tristique justo at Donec